เหมียวน้อยคอยรัก A Whisker Away หรือในชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Nakitai Watashi wa Neko o Kaburu ซึ่งมีความหมายในทำนองว่า “ปรารถนาจะร่ำไห้ ฉันอยากกลายเป็นแมว” (Wanting to Cry, I Pretend to Be a Cat) ภาพยนตร์อนิเมะผลงานจากสตูดิโอ Colorido ร่วมด้วย Toho Animation และ Twin Engine กำกับโดยจุนอิจิ ซาโตะ ผู้กำกับเซเลอร์มูน (Sailor Moon) และ โทโมทากะ ชิบายามะ อนิเมเตอร์จาก 2 ผลงานชื่อก้อง มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away) และ เพลงรักสองหัวใจ (Your Lie in April) เดิมภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายที่ญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน แต่เพราะวิกฤตโควิดจึงปรับมาปล่อยฉายทาง Netflix พร้อมกันทั่วโลก สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา
เหมียวน้อยคอยรัก
เหมียวน้อยคอยรัก A Whisker Away มีชื่อเป็นภาษาไทย คือ เหมียวน้อยคอยรัก เป็นเรื่องแนวโรแมนติกแฟนตาซี ที่เล่าถึง ‘มุเกะ’ สาวน้อยวัยใสที่ได้รับหน้ากากแมว ทำให้กลายร่างเป็นแมวได้เมื่อสวม เพื่อปลดปล่อยความว้าวุ่นใจที่มีต่อครอบครัวของตนเอง เธอจึงกลายร่างเป็นแมว และได้ประสบพบรักกับ ‘ฮิโนเดะ’ หนุ่มเพื่อนร่วมชั้น แม้ว่าในยามเป็นมนุษย์ เธอแสดงออกถึงความรักที่มีให้เขาอย่างจริงใจจนถึงขั้นประเจิดประเจ้อ แต่เขากลับไม่สนใจใยดี เธอจึงเพียรเข้าหาเขาด้วยร่างแมว ซึ่งเขาตอบรับด้วยความรักความเอ็นดูอย่างเต็มที่ นานวันเข้าเธอเลยชักจะติดใจกับตัวเองในร่างนี้ และในที่สุด วันที่เธอตัดสินใจว่าจะอยู่ในร่างใดก็มาถึง หากว่าด้วยเนื้อหา รักแรกของสาวน้อยที่มีความใจกล้า ยอมทุ่มทุนไล่ตามตื้อฝ่ายชายตลอดเรื่อง มันก็ชวนให้หงุดหงิดถึงขั้นรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยมิติของปัญหาทางใจของเด็กสาวที่มีต่อครอบครัวและคนรอบข้างที่ค่อย ๆ แพลมออกมาทีละนิด ก็ทำให้เนื้อหาเบาหวิวมีความหนักขึ้นมาได้อีกหน่อย ส่งผลให้ความก๋ากั่นของนางเอกพอดูรับได้ขึ้นมาอีกนิด แต่ก็ไม่อาจทำให้ภาพยนตร์อยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่า ซาบซึ้งกินใจ หรือ มีความนัยซ่อนเร้นที่กระแทกใจได้อย่างที่คาด
แม้ในภาพยนตร์จะมีการแทรกประเด็นที่เป็นปมอย่างการหนีปัญหาของมนุษย์ซึ่งดูน่าสนใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำได้ไม่หนักหน่วงพอ ยิ่งบวกกับคำพูดคำจาในช่วงหลังของเรื่องที่เหมือนจะพูดเยอะเกินไปจนเฝือ ยิ่งทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์ที่ควรจะซึ้งได้กว่านี้ดูดรอปลงไปอีก และแม้เพลงประกอบจะฟังดูสดใสดี แต่กลับไม่ค่อยเสริมเรื่องเท่าที่ควร ส่วนของตัวละคร แม้บุคลิกของนางเอกจะน่ารำคาญไปบ้างในตอนแรก แต่ดูไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมาได้บ้าง สำหรับพระเอกที่ดูแข็งทื่อก็กลับมามีชีวิตชีวาในช่วงท้ายอย่างเหลือเชื่อไปหน่อย เรียกได้ว่า ขาดนิด ๆ เกินหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ดูแล้วขัดใจมากนัก สำหรับตัวละครอื่น ๆ นั้น โดยรวมถือได้ว่าทำได้กำลังพอเหมาะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นประทับติดลงไปในใจได้
ทว่าความโดดเด่นของเรื่องนี้ยังมีอยู่บ้างที่ความงามของโปรดักชัน ก็ไม่รู้ว่าเพราะได้ผู้กำกับที่เป็นส่วนผสมจากทั้งเซเลอร์มูนและ Spirited Away หรือเปล่า หลายฉากเลยดูชวนฝันชวนให้นึกถึง Spirited Away และภาพยนตร์ของจิบลิได้ไม่ยาก รายละเอียดของสิ่งของในแต่ละฉาก รวมถึงการใช้สีก็ทำได้สดใสดูดีน่าชื่นชม น้องแมว ‘ทาโร่’ ที่นางเอกเป็นยามกลายร่างก็น่ารัก ดูนุ่มนิ่มน่ากอดสุด ๆ ซึ่งก็ไม่แปลกที่พระเอกจะกอดรัดด้วยความเอ็นดู และไม่ใช่แค่ในร่างแมว หากดูไปเรื่อย ๆ นางเอกในร่างมนุษย์ ก็ดูสดใสมีเสน่ห์ไม่หยอกอยู่เหมือนกันนะ
ความดีงามอีกอย่างคือ การนำเอาความน่ารักและความเป็นอิสระของแมว รวมทั้งโลกใน (จินตนาการ) มุมมองของแมวมาใส่ในเรื่องอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ช่วยให้เนื้อหาดูน่ารักและสดใส ทำให้คนดูคล้อยตามและตามติดได้ไม่ยาก จุดนี้เองที่ช่วยให้เนื้อหาที่เบาไปสักหน่อยและบุคลิกที่น่ารำคาญนิด ๆ ของนางเอก ดูเพลินและกลมกล่อมขึ้น ความสนุกและตื่นเต้นชวนติดตามของภาพยนตร์จึงออกมาในขั้นที่เรียกได้ว่าใช้ได้ ดูได้เพลิน ๆ และกลบจุดบกพร่องที่ดูไม่สมเหตุสมผลเล็ก ๆ น้อยของเรื่องได้พอควรเลยทีเดียว
โลกของบรรดาแมวและครึ่งมนุษย์ครึ่งแมว
หากคาดหวังว่าจะดูเรื่องนี้แล้วจะได้ความซึ้งกินใจ หรือบังเกิดประเด็นที่ตราตรึงจิต ภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ตอบโจทย์นัก แต่หากอยากดูภาพยนตร์รักโรแมนติกเพลิน ๆ เพื่อความสดใส มุ้งมิ้ง หรือ ชื่นชมความน่ารักของบรรดาแมวเหมียวในโลกแฟนตาซีแล้วละก็ อนิเมะเรื่องนี้ก็ถือว่าใช่ และทำได้ไม่เลวทีเดียว
จุดเด่น
- ตัวละครน่ารักน่ากอด โดยเฉพาะนางเอกในร่างแมว
- ฉากแฟนตาซีทำได้ดี มีความสวยงาม ฟุ้งฝัน
- เรื่องราวลื่นไหลชวนติดตามตลอดเรื่อง
จุดด้อย
- ประเด็นของเรื่องไม่หนักหน่วงและซาบซึ้งกินใจเท่าที่ควร
- มีความขัดแย้งในบุคลิกของตัวละครที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
- ลำดับการต่อตัดในช่วงแรกอาจทำให้เกิดความสับสนงุนงงเล็กน้อย เหมียวน้อยคอยรัก